เสียงข้างมากที่ไม่เป็นประชาธิปไตย
เสียงข้างมากที่ไม่เป็นประชาธิปไตย
จักรพล ผลละออ
6 มีนาคม 2568
ช่วงสอง-สามสัปดาห์ที่ผ่านมา เวทีการเมืองไทยร้อนแรงขึ้นด้วยเวทีอภิปรายไม่ไว้วางใจนายกรัฐมนตรี และในสัปดาห์ที่พึ่งผ่านมานี้เองก็เกิดวิวาทะขึ้นในสภาผู้แทนราษฎร ในการเสนอญัตติด่วนขอให้เลื่อนระเบียบวาระการพิจารณา ร่าง พรบ. Entertainment complex ขึ้นมาพิจารณาในวันพุธที่ 9 เมษายน 68 โดยขอแทรกญัตติด่วนเรื่องแผ่นดินไหว ของผู้นำฝ่ายค้าน การประชุมเกิดการถกเถียงกันอยู่ยาวนาน ก่อนจะเดินหน้าไปสู่การลงมติ หากทว่าในห้วงระหว่างการโต้แย้งกันในสภานั้น มีบทสนทนาหนึ่งที่น่าสนใจอย่างยิ่ง อันส่งผลให้เกิดการถกเถียงตามมาในโลกออนไลน์ ัน่นคือวิวาทะระหว่าง นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว ส.ส.พรรคเพื่อไทย และ ปกรณวุฒิ อุดมพิพัฒน์สกุล ส.ส.พรรคประชาชน
“...สภาแห่งนี้ไม่มีใครถูกที่สุด แต่เป็นเสียงข้างมากถูกที่สุด…”
นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว ส.ส.พรรคเพื่อไทย
“...ความคิดที่ว่าเสียงข้างมากถูกต้องที่สุดนั้น เป็นอันตรายต่อระบอบประชาธิปไตย…”
ปกรณ์วุฒิ อุดมพิพัฒน์สกุล ส.ส.พรรคประชาชน
วิวาทะดังกล่าวเปิดประเด็นถกเถียงขึ้นในแวดวงออนไลน์ ผู้สนับสนุนทั้งสองพรรคโต้แย้งกันด้วยข้อความคิดต่างๆ เพื่ออภิปรายว่าความคิดใดที่ถูกต้อง แน่นอนว่าข้อถกเถียงนี้ถูกยกไปเปรียบเทียบและสรุปว่าความคิดของ ส.ส.พรรคประชาชน ที่ตั้งคำถามกับ “ความถูกต้องที่สุดของเสียงข้างมาก” นั้นเป็นความคิดต่อต้านประชาธิปไตย ไม่ต่างจากความคิดของบรรดา “สลิ่ม” ที่เรียกหาการรัฐประหาร
อย่างไรก็ตามพ้นไปจากการถกเถียงอย่างมักง่ายด้วยการด่วนสรุปว่าคนนั้นคนนี้เป็น “สลิ่ม” โดยปราศจากการพิจารณาเนื้อหาสาระแห่งข้อความคิดนั้น (อันที่จริงสิ่งที่เรียกว่า “สลิ่ม” เองก็ควรค่าแก่การพิจารณาที่มาที่ไป และนิยามกลุ่มก้อนทางอุดมการณ์ให้ชัดเจนด้วยเช่นกัน แต่ผมจะยังไม่อภิปรายถึงประเด็นนี้ที่นี่) การพิจารณาข้อความคิดว่าด้วย “ประชาธิปไตย” และ “เสียงข้างมาก” นั้นก็ควรค่าแก่การอภิปรายโดยละเอียดอย่างยิ่ง และนี่คือหัวข้อที่ผมอยากชวนทุกท่านมาลองขบคิดพิจารณาเรื่องนี้ไปด้วยกัน
“...การปกครองโดยเสียงข้างมากเป็นคนละสิ่งกับการปกครองโดยประชาชน การจะสร้างระบอบการปกครองของประชาชนนั้นจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องมีองค์ประกอบอื่นเข้ามา และหนึ่งในนั้นคือหลักนิติรัฐ ทั้งนี้ก็เพราะหลักนิติรัฐคือสิ่งที่จะเป็นกำแพงขวางกั้นไม่ให้ระบอบประชาธิปไตยถลำลงไปเป็นระบอบทรราชย์เสียงข้างมาก…”
Paul Woodruff
ระบอบประชาธิปไตย นั้นอาจะประกอบด้วยองค์ประกอบหลากหลาย ซึ่งหากจะแบ่งอย่างง่ายในขั้นแรก ผมคิดว่าเราอาจแบ่งการพิจารณามันได้ใน 2 รูปแบบ คือ “ประชาธิปไตยในเชิงรูปแบบ” และ “ประชาธิปไตยในเชิงเนื้อหา”
ประชาธิปไตยในเชิงรูปแบบ กล่าวอย่างย่นย่อที่สุดคือกระบวนการหรือพิธีการต่างๆ ที่จำเป็นและองค์ประกอบขั้นพื้นฐานของระบอบประชาธิปไตย เช่น มีการเลือกตั้ง, มีสภาผู้แทนราษฎร, มีรัฐธรรมนูญ, มีสถาบันการเมืองและพรรคการเมือง ฯลฯ ซึ่งแน่นอนครับว่าประเทศส่วนใหญ่ในโลกล้วนแล้วแต่มีกระบวนการหรือพิธีการเหล่านี้กันเกือบทั้งสิ้น ลองนึกถึง การเลือกตั้งทั่วไปในประเทศเกาหลีเหนือ หรือ ในประเทศจีน บรรดาประเทศเหล่านี้ที่เรามีภาพจำว่าเป็นเผด็จการโดยพรรคคอมมิวนิสต์มีระบบการเลือกตัง และจัดการเลือกตั้งตามวาระได้อยู่ตลอด และบางครั้งอาจจะจัดอย่างสม่ำเสมอเสียยิ่งกว่าประเทศไทยด้วยซ้ำ ในแง่นี้เองการพิจารณาว่าระบอบการปกครองหนึ่งจะเป็นประชาธิปไตยหรือไม่ จึงไม่อาจพิจารณาเฉพาะ “ประชาธิปไตยเชิงรูปแบบ” อย่างเดียวได้ แต่จำเป็นต้องพิจารณาองค์ประกอบที่สองด้วย นั่นคือ “ประชาธิปไตยในเชิงเนื้อหา”
ประชาธิปไตยเชิงเนื้อหา คือการพิจารณาสาระและเนื้อหาของระบอบการปกครองหนึ่งๆ ว่าเป็นไปตามหลักประชาธิปไตยหรือไม่ เช่น มีการรับรองและคุ้มครองสิทธิมนุษยชนขั้นพื้นฐาน, มีการตรวจสอบถ่วงดุลอำนาจระว่างสถาบันทางการเมืองต่างๆ, มีระบบกฎหมายมาตรฐานเดียว, มีความเสมอภาค, ประกอบด้วยหลักนิติรัฐ, เคารพเสียงข้างมากและคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพของเสียงข้างน้อย ฯลฯ
องค์ประกอบทั้งสองส่วนนี้นับว่ามีความสำคัญมากเท่าๆ กัน เราไม่อาจมีระบอบประชาธิปไตยได้หากไม่มีการรับรองสิทธิทางการเมืองและการเลือกตั้งให้แก่ประชาชนพลเมืองในรัฐ เฉกเช่นเดียวกันนั้นเอง ลำพังเฉพาะการมีการเลือกตั้งก็ไม่ได้หมายความว่าเราเป็นประชาธิปไตยแล้ว หากว่ารัฐนั้นปกครองโดยไม่ได้ยึดหลักนิติรัฐ
ดังนี้เองเราย่อมเห็นได้ว่า การคิดเรื่องระบอบประชาธิปไตยเท่ากับเสียงข้างมากถูกต้องที่สุด นั้นย่อหลุดลอยไปจากหลักการอื่นๆ ของระบอบประชาธิปไตย อันที่จริงหากท่านผู้อ่านยังมองไม่เห็นภาพชัดเจนนัก ผมอยากจะขอยกตัวอย่าง สมมุติว่ามีชุมชนสังคมหรือรัฐสมมุติรัฐหนึ่ง จัดให้มีการประชามติกันภายในรัฐว่า “เห็นด้วยหรือไม่ที่จะมีกฎหมายกำหนดให้ LGBT ทุกคนต้องถูกจับเป็นทาส หรือนำไปประหาร” ปรากฎว่าผลการลงมติออกมาเสียงข้างมากของรัฐสมมุตินี้เห็นด้วยกับกฎหมายดังกล่าว เราเรียกว่าสิ่งที่เกิดขึ้นนี้เป็นประชาธิปไตยได้หรือไม่?
หรือในอีกกรณีหนึ่ง รัฐสมมุติรัฐหนึ่ง ใช้กระบวนการในรัฐสภาออกกฎหมายฉบับหนึ่ง ทั้งที่ยังไม่มีการศึกษาเนื้อหาและผลกระทบของกฎหมายนั้นอย่างดีเพียงพอ ทั้งยังได้รับเสียงต่อต้านจากสาธารณชนเป็นจำนวนมาก แต่รัฐสภายังคงยืนยันว่าจะออกกฎหมายนี้เพราะรัฐบาลคุม “เสียงข้างมาก” ในสภาเอาไว้ได้ เช่นนี้นับว่าเป็นประชาธิปไตยได้หรือไม่? และเราจะพิจารณากรณีเช่นนี้อย่างไร หากเสียงข้างมากในรัฐสภานั้น เห็นไปในทิศทางตรงกันข้ามกับเสียงข้างมากของประชาชนในสังคม?
กรณีตัวอย่างที่สองนี้เองอาจนำไปสู่ข้อถกเถียงที่ขยายต่อเนื่องไปอีก ว่าด้วยเรื่อง “เสียงข้างมาก” นี้เราควรยึดโยงเอาเสียงข้างมากของใครเป็นสำคัญ ระหว่าง “ประชาชน” กับ “ผู้แทนราษฎร” บรรดานักการเมืองทั้งหลายได้เข้าสู่อำนาจไปเป็นผู้แทนราษฎรในสภากันก็ด้วยผ่านการเลือกตั้ง มีผู้ลงคะแนนเลือกตั้งให้เข้าไปทำหน้าที่ในสภา - แต่ประเด็นย่อมมีว่า ผู้แทนฯ ที่เข้าสู่สภาแล้วนับว่าเป็นตัวแทนของประชาชนพลเมืองทั้งหมดได้หรือไม่? หรือเป็นผู้แทนฯ ของผู้ลงคะแนนเสียงเลือกตนเท่านั้น? ยิ่งไปกว่านั้นคือเราจะมั่นใจได้อย่างไรว่าในระหว่างการทำหน้าที่ตลอดระยะเวลาดำรงตำแหน่งของผู้แทนฯ ในวาระหนึ่ง บรรดาประชาชนพลเมืองที่เคยลงคะแนนให้ผู้แทนฯ คนดังกล่าวนี้จะยังคงไว้วางใจการทำงานของผู้แทนฯ ของตนเองอยู่หรือไม่?
คำถามชวนปวดหัวทั้งหลายนี้มีปมปัญหาใจกลางอยู่ที่เรื่องเดียวนั่นคือ “ใครเป็นผู้ทรงอำนาจสูงสุด” ระหว่าง “นักการเมืองที่รับอำนาจมาจากการเลือกตั้ง” กับ “ประชาชนพลเมืองผู้เป็นบ่อเกิดอำนาจ” นี่เป็นประเด็นสำคัญอีกประการก่อนที่จะคิดเรื่องว่า “เสียงข้างมากถูกต้องที่สุด” จริงหรือไม่? - อย่างไรก็ตามผมจะไม่อภิปรายถึงเรื่องนี้ที่นี่
ย้อนกลับมาที่ประเด็นข้อความคิดว่าเสียงข้างมากถูกต้องที่สุดและการตั้งคำถามหรือคัดค้านเสียงข้างมากนั้นเท่ากับการต่อต้านประชาธิปไตย ผมเห็นว่าประเด็นนี้หากพิจารณาประวัติศาสตร์การเมืองในรอบ 20 ปีที่ผ่านมาก็อาจจะพอเข้าใจภาพรวมได้มากขึ้น อันที่จริงตลอดวิกฤติการณ์การเมืองในสองทศวรรษนี้ สังคมไทยเผชิญหน้ากับ 2 กลุ่มก้อนความคิดที่ไม่ลงรอยและไม่เป็นประชาธิปไตยด้วยกันทั้งคู่ นั่นคือเราอยู่ในความขัดแย้งระหว่าง “ระบอบเสียงข้างมากเด็ดขาดที่ปราศจากนิติรัฐ” กับ “ระบอบเสียงข้างน้อยอำนาจนิยมที่ปราศจากนิติรัฐ”
สิ่งที่ทั้งสองฝ่ายมีร่วมกันคือการแสวงหาหนทางเข้าสู่อำนาจรัฐในทุกกลวิธี ต่างแย่งชิงความได้เปรียบเสียเปรียบทางการเมืองกันผ่านสมรภูมิที่หลากหลายทั้งสนามเลือกตั้ง, นิติสงคราม, การเมืองมวลชน, อำนาจนอกระบบ และกระทั่งการรัฐประหาร สลับสับเปลี่ยนกันไปตามแต่ช่วงเวลา แต่พร้อมกันนั้นเองทั้งสองฝ่ายก็ไม่มีใครที่ยึดโยงหรือตั้งมั่นอยู่กับหลักการประชาธิปไตยอย่างจริงจัง หลักนิติรัฐถูกยกมาเป็นข้ออ้างลอยๆ ในชื่อ “หลักนิติธรรม” ที่บิดเบี้ยวไปเป็นหลักการปกครองด้วยศีลธรรมแบบพุทธ เพื่อใช้เป็นเครื่องมือล้มคู่แข่ง ขณะที่ระบบเลือกตังกลายไปเป็นสนามการเมืองหลักสำหรับเข้าสู่อำนาจของอีกฝ่ายหนึึ่งบนวิธีคิดแบบเสียงข้างมากถูกต้องที่สุด หรือคิดอีกแบบก็คือ “ผู้ชนะกินรวบหมด”
ประสบการณ์ทางการเมืองที่บิดเบี้ยวตลอดช่วง 20 ปีที่ผ่านมานี้ ทำให้เราจมจ่อมอยู่กับการที่จะต้องยืนยันว่า “คนเท่ากัน” ที่สื่อความหมายถึงการปกป้องการเลือกตั้งจากบรรดาชนชั้นนำ และเสียงข้างน้อยอำนาจนิยม แต่ขณะเดียวกันนั้นเองมันก็สร้างความเข้าใจผิดให้แก่ใครหลายคนเช่นกันที่หลงคิดไปว่า “เสียงข้างมากถูกต้องที่สุด” - อันที่จริงเป็นเรื่องตลกร้ายอยู่มาก เพราะในขณะที่เราพูดว่า “คนเท่ากัน” แต่การยืนยันว่า “เสียงข้างมากถูกต้องที่สุด” ก็ทำให้คนไม่เท่ากันเสียแล้ว เพราะเสียงข้างน้อยนั้นผิด และความเห็นของเสียงข้างน้อยจะไม่เท่ากันกับความเห็นของเสียงข้างมาก
ผมเห็นว่าเราจำเป็นต้องกลับมาถกเถียงอภิปรายถึง “เนื้อหา” และ “ความหมาย” ของระบอบประชาธิปไตยกันอย่างจริงจัง ไม่ใช่เพื่อต่อต้านหรือลดทอนระบอบประชาธิปไตย หากแต่เพื่อแก้ไขและปรับปรุงระบอบประชาธิปไตยให้ดียิ่งขึ้้น พูดอย่างตรงไปตรงมาที่สุดการแบกหามระบอบที่ผุพังเอาไว้โดยไม่ปริปากหรือพยายามแก้ไขปรับปรุงมันนั้น เป็นการ “ปกปิด” ไม่ใช่ “ปกป้อง” และในท้ายที่สุดเมื่อระบอบนั้นง่อนแง่นจนคนเสียศรัทธา มันย่อมพังทลายลงอย่างง่ายดาย กลับกันกการปรับปรุงแก้ไขมันให้ดีขึ้นต่างหากที่จะเป็นเครื่องยืนยันว่าระบอบนี้จะยังคงเดินหน้าไปต่อผ่านความท้าทายไปได้
และลงท้ายของข้อเขียนนี้ สำหรับ นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว และผู้สนับสนุนพรรคเพื่อไทย ที่ยืนยันหลักการเรื่องเสียงข้างมากถูกต้องที่สุด และเห็นว่าการวิจารณ์เสีงข้างมากไม่ว่าจะโดบเนื้อหาใดก็ตามเป็นพฤติกรรมของสลิ่ม หรือพวกต่อต้านประชาธิปไตยนั้น ผมขอแนบแถลงการณ์พรรคเพื่อไทย ลงวันที่ 7 กรกฎาคม 2565 ที่โจมตีเสียงข้างมากในสภา ไว้ให้เป็นที่ระลึกครับ.